Now Reading
อยากหน้าปัง ไม่พังต้องรู้!! 9 สกินแคร์ที่ควรและไม่ควรใช้ร่วมกัน

อยากหน้าปัง ไม่พังต้องรู้!! 9 สกินแคร์ที่ควรและไม่ควรใช้ร่วมกัน

ในปัจจุบันมีครีมบำรุงผิวหรือสกินแคร์ใหม่ๆ ออกมาเยอะเหลือเกิน บางคนก็ใช้ตามคนอื่นจนลืมใส่ใจถึงส่วนประกอบแต่ละอย่างในแต่ละผลิตภัณฑ์ ซึ่งจริงๆ แล้วส่วนประกอบเหล่านี้มีความสำคัญมากๆ ค่ะ หากเราไม่รู้อะไรเลย สกินแคร์ที่ซื้อมาเป็นพันๆ อาจสูญเปล่าได้เลยนะ และวันนี้เราจะมาบอกสาวๆ ว่าส่วนประกอบของสกินแคร์ตัวไหนที่ควรและไม่ควรใช้ร่วมกัน เพื่อป้องกันอาการแพ้และเพื่อให้สกินแคร์มีประสิทธิภาพสูงที่สุด!

ส่วนประกอบในสกินแคร์ที่ ไม่ควร/ควร ใช้ผสมกัน

✘ Benzoyl Peroxide และ เรตินอล (Retinol)

หากใครเคยรักษาสิวคงรู้จักตัวยา 2 ตัวนี้กันดีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นตัวยาที่ช่วยยับยั้งการกระจายของสิว แต่มันมีเหตุผลอยู่ว่าทำไมถึงไม่เอาสองอย่างนี้มารวมอยู่ในผลิตภัณฑ์ตัวเดียว ดร. Imahiyerobo-Ip กล่าวว่า Benzoyl peroxide เป็นผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่มีฤทธิ์รุนแรงสำหรับสิวอักเสบหรือก็คือตัวยาหลักที่ผสมอยู่ในยาทาก่อนล้างหน้านั่นแหละ แต่หลายๆ คนก็ไม่รู้ว่า Benzoyl peroxide สามารถยับยั้งการทำงานของยาทาวิตามินเอ (Topical Retinoid) ได้

จากที่กล่าวไปไม่ได้หมายความว่าคุณไม่สามารถใช้ Benzoyl peroxide ได้ในช่วงที่ใช้เรตินเอ ที่ถูกก็คือไม่ควรเอาทั้งสองตัวมาทาทับกันต่างหาก ซึ่งดร. Imahiyerobo-Ip แนะนำว่าควรใช้ Benzoyl peroxide ในตอนกลางวัน และใช้เรตินอลตอนก่อนนอนจึงจะเหมาะสม

✔ เรตินอล (Retinol) และ กลีเซอริน (Glycerin)

เรตินอลเป็นส่วนประกอบของสกินแคร์ที่มีประสิทธิภาพมากๆ แต่ค่อนข้างทำให้เกิดการระคายเคือง จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมแพทย์ผิวหนังถึงกำชับให้ใช้อย่างประหยัด และใช้ครั้งละแค่นิดเดียว โดยค่อยๆ ให้ผิวชินกับตัวยา และตัวยาที่จะช่วยลดการระคายเคืองจากการใช้เรตินอลก็คือ กลีเซอริน เป็นสารที่สามารถดูดความชื้นได้ดี ซึ่งจะช่วยกักเก็บน้ำไว้ในผิวได้นั่นเอง

เมื่อยาสองตัวนี้อยู่ด้วยกันจะช่วยยับยั้งการเกิดริ้วรอย ให้ผิวชุ่มชื่น และลดการระคายเคืองจากเรตินอลได้ ตัวอย่างสกินแคร์ที่มีสองอย่างนี้รวมเข้าด้วยกัน ได้แก่ Hydropeptide’s Nimni Cream ราคา $110 หรือประมาณ 3,466 บาท (ค่าเงินสามารถเปลี่ยนแปลงได้)

youtube

✘ วิตามินซี และ AHA (Alpha Hydroxy Acids)

สารทั้งสองตัวนี้มีประโยชน์ต่อการต้านอนุมูลอิสระ แต่เมื่อมาอยู่รวมกันจะทำให้ค่า pH ของผิวไม่สมดุล เนื่องจากความเป็นกรดที่สูงเกินไป ผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินซีเป็นส่วนประกอบที่มีระดับความเป็นกรดต่ำ (โดยปกติจะอยู่ที่ 3 ใน 14) เมื่อคุณใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ร่วมกับ AHA จะทำประสิทธิภาพของวิตามินซีลดลง หากถามว่าใช้ร่วมกันแล้วจะเป็นอันตรายหรือเกิดการระคายเคืองไหม.. คำตอบคือไม่ค่ะ แต่จะทำให้สกินแคร์ราคาแพงของคุณสูญเปล่าไปเท่านั้นเอง

✔ วิตามินซี และ กรดเฟอรูลิก (Ferulic Acid)

วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์ช่วยให้ริ้วรอยตื้นขึ้น และช่วยกำจัดจุดด่างดำต่างๆ โดยวิตามินซีจะมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้นเมื่ออยู่รวมกับกรดเฟอรูลิก ซึ่งหนึ่งในเซรั่มที่มีสารทั้งสองตัวนี้ ได้แก่ SkinCeuticals C E Ferulic Combination Antioxidant Treatment ราคา $165 หรือประมาณ 5,200 บาท (ค่าเงินสามารถเปลี่ยนแปลงได้) ภายในเซรั่มมีวิตามินซีบริสุทธิ์ 15 เปอร์เซ็นต์ และกรดเฟอรูลิก 0.5 เปอร์เซ็นต์

makeupalley

✘ วิตามินบี3 และ AHA (Alpha Hydroxy Acids)

วิตามินบี 3 เป็นสารช่วยปรับสภาพผิวที่ช่วยซ่อมแซมและปรับโครงสร้างผิว และมีแนวโน้มที่จะทำงานได้ดีที่สุดในผิวที่มีค่า pH เป็นกลาง ซึ่งตามที่ได้อธิบายไว้ก่อนหน้า AHA จะทำให้ค่า pH ไม่สมดุล เมื่อใช้สกินแคร์ที่มี AHA ในปริมาณมาก กรดนิโคตินิค (Nicotinic acid) จะถูกผลิตออกมา และส่งผลให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคือง แม้ว่าการใช้สารทั้งสองตัวนี้พร้อมกันจะไม่ได้ทำให้เกิดอันตรายต่อตัวคุณ แต่สารเหล่านี้จะต่อต้านกันซึ่งถ้าใช้ร่วมกันแล้วไม่เกิดผลดี ก็ใช้ทีละตัวดีกว่าเนอะ

✔ เรตินอล (Retinol) และ กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid)

กรดไฮยาลูโรนิคเป็นสารดูดความชื้นอีกหนึ่งชนิดที่มีประสิทธิภาพสูง หรือก็คือสามารถทำให้ผิวชุ่มชื่นได้อย่างมหัศจรรย์ ผิวหนังของคนเราจะสูญเสียน้ำและความชื้นตามอายุที่เพิ่มขึ้น รวมถึงจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเรตินอลซึ่งทำให้ผิวแห้งก็เช่นกัน ดังนั้นเมื่อเราใช้เรตินอลซึ่งทำให้ผิวเสียน้ำไป ก็ควรเติมกรดไฮยาลูโรนิคเพื่อเก็บความชุ่มชื่นของผิวไว้ยังไงล่ะคะ

✘ วิตามินซี และ เรตินอล (Retinol)

เรตินอลและเรตินอยด์เป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยขจัดปัญหาและป้องกันริ้วรอย ทั้งยังช่วยป้องกันการเกิดสิวและทำให้จุดด่างดำจางลง รวมถึงเพิ่มการผลิตคอลลาเจนในชั้นผิว นี่เป็นเหตุผลว่าทำให้ผลิตภัณฑ์จากแพทย์ผิวหนังส่วนมากจะมีเรตินอลเป็นส่วนประกอบ

See Also

สิ่งที่ต้องกังวลเป็นอันดับต้นๆ เมื่อใช้สกินแคร์ประเภท retinol-based ก็คืออาการระคายเคือง มีสารหลายอย่างที่สามารถเพิ่มโอกาสของอาการระคายเคืองจากเรตินอยด์ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ วิตามินซี นั่นเอง หากใช้เดี่ยวๆ จะมีผลดี แต่ถ้าใช้สองอย่างนี้ร่วมกันอาจทำให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวบอบบาง

✔ วิตามินซี และ วิตามินอี

เนื่องจากวิตามินทั้งสองชนิดนี้เป็นสารต้านอนุมูลอิสระทั้งคู่ จึงทำให้เมื่อใช้ด้วยกันแล้วมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นในการปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อใช้วิตามินทั้งสองตัวนี้ควบคู่ไปกับการทาครีมกันแดด จะเป็นโล่กันแสงแดดและรังสียูวีได้ดีสุดๆ แถมยังช่วยต่อต้านริ้วรอยจากรังสีเหล่านั้นได้ด้วย

✘ AHA (Alpha Hydroxy Acids) และ เรตินอล (Retinol)

กรดไกลโคลิกและกรดแล็กทิกเป็นสารทางเคมีที่ช่วยทำให้ผิวเรียบเนียน กระชับรูขุมขน และลดจุดด่างดำ ในขณะที่กรดซาลิไซลิกทำหน้าที่ควบคุมการผลิตน้ำมันเพื่อช่วยป้องกันสิว ซึ่งกรดไกลโคลิก กรดแล็กทิก และกรดซาลิไซลิกมักถูกพบในผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีความเข้มข้นต่ำ ทั้งๆ ที่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น retinol-based แทนได้ ดังนั้นสำหรับคนที่มีผิวบอบบางจึงไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดเหล่านั้น แต่ถ้าคุณจำเป็นที่จะต้องใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของกรดเหล่านั้นจริงๆ แพทย์แนะนำให้ใช้ตอนเช้า และใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็น retinol-based ก่อนนอน แล้วตามด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่อ่อนโยนทุกครั้ง

หลังจากนี้คงต้องใส่ใจส่วนประกอบต่างๆ ในสกินแคร์บ้างแล้วล่ะค่ะ สกินแคร์ที่ซื้อมาจะได้ไม่เสียเปล่าและเกิดประโยชน์สูงสุด

 

View Comments (0)

Leave a Reply

Your email address will not be published.

CAPTCHA


Scroll To Top