“การบอกลา…สำหรับฉันมันเป็นเรื่องที่ยากเสมอ น้ำตาของฉันมักไหลออกมาบ่อยๆ มันทำให้มาสคาร่าเลอะเทอะ คราวนี้คงถึงเวลาที่ฉันต้องบอกลาชั้นวางเครื่องสำอางของฉันแล้ว และสัญญาว่าจะไม่แต่งหน้าเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์” นี่เป็นคำกล่าวของ Kelsey Nguyen และเรากำลังจะเล่าเรื่องราวของเธอให้ฟังดังต่อไปนี้
Kelsey Nguyen ตัดสินใจที่จะไม่แต่งหน้าเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์ โดยที่เธอจะไม่แตะต้องแม้กระทั่งอายไลเนอร์ไปจนถึงการลงแป้งรองพื้น และนี่ก็เป็นการเริ่มดำเนินการภารกิจเพื่อไปสู่ความเป็นธรรมชาติ, ตำหนิต่างๆ และข้อบกพร่องที่เป็นที่ยอมรับ ในตอนแรกเธอคิดว่าตัวเองประสาทไปแล้วแน่ๆ แต่เธอก็ตัดสินใจทำมันต่อไป
ที่จริงในปัจจุบันนี้ การมีใบหน้าเปลือยเปล่าไม่ได้เป็นความคิดที่แปลกประหลาดไปซะทั้งหมด อย่างที่เราเห็นในอินสตาแกรม อย่างการเซลฟี่ของเหล่าคนดังที่มาพร้อมกับ #NoMakeup และการแท็กอื่นๆ ที่คล้ายกัน แม้กระทั่งการสอนแต่งหน้าให้เหมือนกับไม่ได้แต่ง (No makeup) ก็มีให้เห็นทั่วไปตามเว็บต่างๆ แบรนด์เครื่องสำอางต่างๆ ก็ผลิตเครื่องสำอางที่ตอบรับกับเรื่องพวกนี้
สำหรับ Kelsey แล้ว การแต่งหน้านั้นเป็นสิ่งเพิ่มความมั่นใจ การแต่งหน้าเป็นสิ่งที่มีความหมายมากๆ สำหรับเธอ เหมือนกับการใส่เสื้อผ้า เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย และก็เหมือนกับใครอีกหลายคน เธอมีปัญหาเรื่องสิวที่ขึ้นมาเยอะมากและมีผิวที่หมองคล้ำ สิ่งที่ช่วยเธอจากปัญหารนี้คงหนีไม่พ้นการลงรองพื้นและคอนซีลเลอร์ในทุกวันที่ต้องออกจากบ้าน แต่นั้นก็ทำให้เธอต้องไปพบแพทย์ ความต้องการของเธอที่จะดูแลผิวที่มีค่าเอาไว้ โดยทั้ง7วัน เธอจะใช้ชีวิตอย่างปกติเช่น ไปเรียน ไปเที่ยวกับเพื่อน ไปโบสถ์ แม้แต่การไปซื้อของที่ห้าง แต่เธอจะทำทั้งหมดนี้ด้วยไปหน้าเปลือยเปล่า
และอะไรเป็นสิ่งที่เธอได้เรียนรู้จากการภารกิจนี้ สาวๆ จะลองนำไปทำตามบ้างก็ได้นะคะ
1. ผิวของ Kelsey สะอาดหมดจด
Kelsey กล่าวว่า นี่ควรจะมาพร้อมความไม่แปลกใจ โมเมนต์ที่คุณเรียกความกล้าเพื่อที่จะยกเลิกการแต่งหน้าที่คุณทำอยู่ทุกวัน รางวัลที่คุณได้รับนั้นคือการได้ผิวใหม่ที่ดูดีขึ้น การหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์แบบครบชุด: พวกรองพื้น คอนซีลเลอร์ ไพรเมอร์ อะไรพวกนี้ นั่นหมายความว่าผิวของคุณกำลังจะได้รับการพักผ่อนมากขึ้น นั่นเท่ากับว่าการที่แต่งหน้าแบบครบชุดหรือจัดเต็มนั้น จะทำให้ผิวของเธอดูดซึมสารเคมีมากมายเข้าไป
เข้าสู่วันที่เจ็ดของการไม่แต่งหน้า รูขุมขนของ Kelsey ได้หยุดพัก ผิวภายนอกของเธอได้รับการรักษา และสิวของเธอได้รับการรักษา Kelsey บอกว่าตอนแรกเธอเองก็ไม่ได้สังเกตการเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับผิวของเธอ สีผิวที่ไม่เท่ากัน, รอยสิวยังคงมีให้เห็น และแม้ว่ามันจะเห็นสิ่งเหล่านี้ชัดเจน แต่พอประมาณวันที่ 4 ผิวของเธอเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตัวของ Kelsey เองก็เริ่มชินกับการไม่ต้องทารองพื้นเวลาออกไปข้างนอกแล้ว ในวันนั้นเองเธอก็ได้พบว่าผิวของเธอดูดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน รางวัลที่เธอได้คือสิวที่น้อยลง และมีผิวหน้าที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น
2. ตอนเช้าที่มีความหมาย
Kelsey ได้เล่าว่า เมื่อก่อนเธอเป็นหนึ่งในเด็กสาวที่ใช้เวลาในตอนเช้าไปกับการแต่งหน้าก่อนไปโรงเรียน โดยเธอจะต้องตื่นก่อนสองชั่วโมงก่อนที่จะเริ่มเข้าเรียนเพื่อแต่งหน้า (แม้ในวันที่มีเรียนตอนแปดโมงเช้า เพราะว่าเธอค่อนข้างกังวลกับการแต่งหน้า) เธอทำทุกขั้นตอนในการแต่งหน้าจนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน แต่เมื่อเธอตัดสินใจที่จะให้ผิวหน้าของเธอให้เป็นธรรมชาติ เธอพบว่ามีสิ่งที่ดีๆบางอย่างเกิดขึ้น ระว่างอาทิตย์ที่ปราศจากการแต่งหน้า คุณจะได้ค้นพบความน่าอัศจรรย์ของการนอนตื่นสาย Kelsey บอกอีกว่า เธอมีเวลานอนมากขึ้นในตอนเช้า มันเป็นความรู้สึกที่น่ายินดีมากจริงๆ มันเทียบไม่ได้เลยกับการต้องมาทาอายแชโดว์และนั่งดัดขนตา ที่น่าแปลกอีกอย่างคือ เธอไม่ต้องทะเลาะกับนาฬิกาปลุกเพื่อมาเขียนอายไลเนอร์
3. ความเครียดหายไป
Kelsey ก็ไม่ได้นึกถึงมันในตอนแรก แต่เมื่อก่อนนี้เธอจะต้องระวังเรื่องการเลือกซื้อและการใช้เครื่องสำอาง ทุกวันเธอจะต้องแต่งหน้าด้วยความเครียด อายแชโดว์เปรอะเกินไปไหม? อายไลเนอร์เท่ากันรึเปล่า? แล้วตาที่เป็นหมีแพนด้าจะทำยังไง? ปัดแก้มเยอะเกินไปไหม? ปัญหาต่างๆเหล่านี้ทำให้เธอยุ่งยาก
เมื่อเธอยอมให้ผิวของเธอได้สัมผัสกับความเป็นธรรมชาติและอุปสรรคต่างๆหมดไป เธอยอมรับสภาพใบหน้าของเธอเองได้ในตอนเช้า ไม่ว่ามันจะมีรอยแดงหรือไม่มีก็ตาม มันรู้สึกเป็นอิสระอย่างแปลกประหลาดที่ลืมเกี่ยวกับจุดตำหนิหรือรอยบนใบหน้า แล้วมาให้ความสนใจกับอย่างอื่นที่สำคัญกว่า
4. ทุ่มเทความสนใจกับเส้นผมมากขึ้น
เมื่อคุณหยุดแต่งหน้ามันคือเวลาที่เครื่องม้วนผมจะถูกใช้งานอย่างหนักแน่นอน! Kelsey บอกว่า การมีใบหน้าที่เปลือยเปล่านั้นหมายถึงเธอจะสามารถทุ่มเทเวลาของเธอให้กับการทำผม เธอมักจะหนีบผมและทำผมในห้องน้ำ และแต่งหน้าแต่งตัวในห้องนอน แต่เมื่อสิ่งที่คุณต้องทำทั้งหมดมีแค่การทามอยส์เจอไรเซอร์และครีมกันแดด คุณจะมีเวลามากพอที่จะทดลองทำทรงผมใหม่ให้กับตัวเอง นั่นมันดีมากเลยไม่ใช่หรอ
5. การเลือกเสื้อผ้าก็กลายเป็นความท้าทาย
ใครจะรู้ว่าความงามกับแฟชั่นจะเป็นสิ่งที่ส่งเสริมกัน Kelsey บอกอีกว่า ถ้าคุณมีบางสิ่งที่เหมือนกับเธอ คุณจะเริ่มรู้สึกแปลกเวลาที่แต่งตัวเยอะแต่แทบจะไม่ได้แต่งหน้าเลย Kelsey เล่าว่า วันหนึ่งเธออยากจะถอดถุงน่องและกระโปรงออก เพียงนั้น แต่เธอก็ค้นพบว่ามันรู้สึกไม่สมบูรณ์ถ้าไม่มีมาสคาร่า การเขียนคิ้ว และการแต่งหน้า Kelsey ยังบอกอีกว่า เธอคิดมาตลอดว่าการแต่งตัวที่เหมาะกับการไม่แต่งหน้านั้นต้องเป็นแบบเสื้อแขนยาวและเสื้อยืดใส่เดินอยู่ในบ้าน หรือแบบชุดบีกินี่ที่ใส่เดินตามชายหาด
แต่ว่านะ เธอสามารถจัดการทุกอย่างให้เข้ากันได้ในตอนท้าย เธอเก็บเสื้อผ้าที่เธอไม่ค่อยได้ใส่มาทดลองใส่ดู หรือไม่ก็เสื้อที่มาจากตู้เสื้อผ้าของแม่ และเธอก็พบว่าบางทีมันก็สามารถเข้ากันได้ดี และแน่นอนที่สุดการที่เธอไม่ได้แต่งหน้านั้น ทำให้เธอสามารถแต่งตัวได้สบายมากขึ้น
6. คนอื่นก็ยังเหมือนเดิมกับฉัน
Kelsey เป็นคนที่มีความเชื่ออย่างหนักแน่นว่าความรู้สึกดีเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกเป็นอันดับหนึ่งของความมั่นใจ บางทีคุณมีวันหยุดงาน เมื่อวันนั้นมาถึง คุณอาจมีนัดเดท นั่นอาจทำให้คุณต้องพาตัวเองออกไปเจอกับโลกภายนอก ในทางกลับกันคุณก็จะมัวแต่คิดถึงช่วงเวลาที่คุณเพิ่งทาสีปากของคุณเสร็จและติดขนตา การแต่งหน้าของคุณไม่เคยดีแบบนี้มาก่อน และคุณก็รู้สึกอิ่มเอิบกับมัน
Kelsey บอกว่าอีกว่า ในตอนแรกเธอรู้สึกประหม่ามากที่ต้องปรากฎตัวต่อหน้าคนอื่นโดยที่ไม่ได้แต่งหน้า เพื่อนของฉันจะคิดยังไงกันนะ แต่แล้วทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี เธอตามในที่ๆ มีคนเยอะ และสุดท้ายก็ไม่มีใครสนใจเธอ หรืออาจเป็นเพราะเธอเองก็ไม่ได้สังเกต
7. ฉันค้นพบว่า ฉันไม่สามารถทำสิ่งที่ท้าทายแบบนี้ได้อีก
การทดสอบในหัวข้อ “ฉันจะไม่แต่งหน้าเป็นเวลา 1 อาทิตย์” มีให้เห็นมากมายตามเว็บไซต์ มันเป็นการท้าทายความกล้าของแต่ละคน แต่อะไรคือความแต่งต่างของผลลัพธ์ที่ทุกคนได้ในตอนท้าย ในขณะที่บางคนค้นพบความงามที่มาจากธรรมชาติ และอื่นๆ อย่างเช่นตัวของ Kelsey เอง เธอรู้ว่ามันเป็นเรื่องสนุกที่ได้ลองทำ แต่การแต่งหน้าไม่ใช่สิ่งที่จะทำได้ตลอดเวลา
เธอได้เรียนรู้และอดทน แต่เธอยังคงรักเครื่องสำอางของเธอ และมันคงน่าเสียดายที่ต้องทิ้งมันลงถังขยะไป มันยังคงน่าสนุกเมื่อมันมาถึงวันสุดท้าย Kelsey บอกอีกว่าคราวหน้าคุณจะได้เห็นเธอไร้เมคอัพอีก ไม่ที่สนามบิน ก็ที่บ้านของเธอ ในชุดนอนและนั่งดูซีรีส์เรื่องโปรด
ที่มา: bustle
หลงใหลในความเป็นญี่ปุ่น~ ชอบเล่าเรื่องราวผ่านตัวหนังสือ ยินดีที่ได้รู้จักนะ : )