
ในปัจจุบันตามท้องตลาดมีครีมกันแดดหลายแบรนด์ให้เลือกซื้อ ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็เหมาะกับการใช้งานที่ต่างกันจนผู้ซื้ออย่างเราปวดหัวไปตามๆ กัน บางอย่างซื้อตามรีวิวที่ว่าดีแต่กลับไม่เหมาะกับเราซะงั้น ด้วยปัญหาเหล่านี้เราเลยจะพาทุกคนมาไขข้อสงสัยกับแพทย์หญิง สุรีย์รัตน์ ศรีตั้งรัตนกุล แพทย์ผิวหนังประจำโรงพยาบาลกรุงเทพพัทยา เจาะลึกวิธีเลือกครีมกันแดดในปัจจุบัน ว่ากันแดดที่ดีที่สุดเป็นยังไงและกันแดดแบบไหนที่คนผิวบอบบางแพ้ง่ายควรเลือกใช้กันแน่ เวลาเลือกซื้อครีมกันแดดควรคำนึงถึงอะไรบ้าง มีวิธีการเลือกอย่างไรให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวหน้าของเรา พร้อมเคล็ดลับในการทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุด ไปค่ะสาวๆ หากพร้อมแล้วก็ไปพูดคุยกับคุณหมอกันเลย
สารบัญ
ก่อนอื่นเรามาเริ่มกันที่ประเด็นที่หลายๆ คนน่าจะสงสัยและอยากรู้กันมากที่สุดก่อน ว่าเมื่อเราจะเลือกซื้อครีมกันแดดสักตัว เราต้องคำนึงถึงปัจจัยอะไรบ้าง
Q: สิ่งที่ควรนึกถึงเมื่อจะเลือกซื้อครีมกันแดด
คุณหมอสุรีย์รัตน์กล่าวว่า ปัจจัยที่ควรคำนึงถึง ได้แก่
- เลือกผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ และผ่าน อย.ชัดเจน
- เลือกครีมกันแดดชนิดที่เหมาะกับสภาพผิวของตนเอง เช่น คนผิวมันควรเลือกครีมกันแดดเนื้อน้ำนมหรือ Fluid ที่มีความบางเบา ส่วนคนผิวแห้งครีมใช้แบบที่เป็นเนื้อครีมที่เข้มข้นขึ้นมาหน่อย ให้เหมาะกับสภาพผิวเรา
- คำนึงถึงกิจกรรมที่ทำในวันนั้นๆ เพื่อเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ที่เหมาะสม คือ หากอยู่ในที่ร่มหรืออยู่ในบ้าน (Indoor) ควรเลือกแบบที่มี SPF 15-30 ส่วนกิจกรรมกลางแจ้ง (Outdoor) ควรเลือกแบบที่มี SPF 30 ขึ้นไป ถ้าออกกำลังกายหรือเล่นน้ำว่ายน้ำก็ควรเลือกชนิดที่เป็น Water Resistant (กันน้ำกันเหงื่อ) ด้วย
- เลือกประเภทของครีมกันแดดและทดสอบว่าแพ้หรือไม่ โดยลองทาที่ข้อพับแขนและทดลองทาออกแดดด้วย ไม่งั้นก็จะไม่รู้แน่ชัดว่าแพ้หรือไม่
- เลือกครีมกันแดดที่มีค่า PA
ต้องอธิบายก่อนว่า แสงแดดที่มาถึงเรามีตั้งแต่ UVA, UVB ส่วน UVC จะถูกกั้นไว้ตั้งแต่ชั้นบรรยากาศ ซึ่ง UVA กับ UVB การปกป้องของครีมกันแดดจะต่างกัน โดยค่า SPF เป็นการวัดค่าการป้องกันของ UVB ส่วน PA บอกถึงประสิทธิภาพการปกป้องผิวจากรังสี UVA จึงต้องมีทั้งสองค่านี้ เพื่อการปกป้องผิวจากรังสียูวีนั่นเอง
แล้วที่บอกว่าควรเลือกจากประเภทของครีมกันแดดด้วย แล้วครีมกันแดดมีกี่ประเภทกันนะ? คงสงสัยกันล่ะสิ ..ซึ่งคุณหมออธิบายให้ฟังแบบง่ายๆ ดังนี้ค่ะ
Q: ครีมกันแดดมีกี่ประเภท
หลักๆ แล้วครีมกันแดดจะมี 2 ประเภท ได้แก่ Non-chemical หรือที่เรียกกันว่า Physical และแบบ Chemical แต่ก็มีครีมกันแดดบางแบรนด์ที่ใช้หลักการของทั้ง 2 ประเภทมารวมกัน จึงเรียกว่าครีมกันแดดแบบผสม ซึ่งครีมกันแดดส่วนมากในท้องตลาดคือครีมกันแดดแบบผสมค่ะ
1. ครีมกันแดดแบบ Physical หรือ Non-Chemical
ครีมกันแดดแบบ Physical จะเป็นการสร้างเกราะป้องกันผิว เมื่อทาแล้วครีมจะเคลือบผิวหน้าเหมือนมีผ้ามาคลุมไว้ พอแสงแดดกระทบก็จะสะท้อนออกจากผิว กระเด้งออกไป และมีโอกาสแพ้น้อยกว่าครีมกันแดดแบบที่มีเคมี เนื่องจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางเคมีของสาร และยังสามารถล้างออกได้หมดจด จึงปลอดภัยต่อผิวบอบบางแพ้ง่าย โดยสามารถใช้ได้ตั้งแต่เด็ก 6 ขวบขึ้นไปเลยค่ะ
ข้อดี
- สะท้อนรังสี UV ออกจากผิว ช่วยลดการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ
- ทาแล้วออกไปข้างนอกเผชิญกับแสงแดดได้ทันที
- ติดทนบนผิวนาน เหมือนมีปราการเคลือบผิวตลอดวันโดยไม่ต้องทาซ้ำระหว่างวัน ในกรณีที่ไม่ได้ทำกิจกรรมที่เหงื่อออกหรือโดนน้ำแบบหนักหน่วง
- มีโอกาสแพ้น้อยกว่าแบบ Chemical เพราะเมื่อรังสียูวีกระทบผิว จะสะท้อนออกจากผิว ไม่ทิ้งสารเคมีตกค้าง ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
- ไม่อุดตันผิวจึงไม่ก่อให้เกิดสิว
- ใช้ได้ทั้งครอบครัว ทั้งเด็กเล็กและผู้ใหญ่
ข้อเสีย
- อย่างที่บอกไปว่าครีมกันแดดชนิดนี้ใช้แล้วจะเหมือนว่าตัวครีมเคลือบหรือฉาบผิวหน้าของเราไว้ จึงอาจทำให้ทาแล้วหน้าดูขาวและเงาขึ้นเล็กน้อย แต่ปัจจุบันมีแบรนด์ที่พัฒนาเนื้อครีมให้มีอณูที่ละเอียดมาก ซึมเข้าสู่ผิวได้ลึกและง่ายดาย ทาแล้วหน้าไม่ขาววอกด้วย
2. ครีมกันแดดแบบ Chemical
ครีมกันแดดแบบเคมีหลังจากทาแล้ว เมื่อมีรังสี UV มากระทบ จะดูดซับรังสี UV ไว้ แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน ซึ่งเมื่อความร้อนทำปฏิกิริยากับผิว ผิวจึงอาจหมองคล้ำ และอาจเกิดอาการแสบร้อน แพ้หรือระคายเคืองผิวได้
ข้อดี
- เนื้อบางเบา ทาแล้วไม่หนักหน้า
- มีหลากหลายยี่ห้อให้เลือกใช้
ข้อเสีย
- หลังทาต้องรอ 10-15 นาที ถึงจะออกแดดได้
- ประสิทธิภาพของการกันแดดลดลงเรื่อยๆ เมื่อได้รับความร้อนจากรังสี UV จึงต้องทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง
- ผิวบอบบางแพ้ง่ายมีโอกาสแพ้ได้ เพราะการทำปฏิกิริยาของสารเคมี โดยอาจแพ้ที่ตัวครีมกันแดดหรือแพ้สารหลังจากการเปลี่ยนสภาพแล้วก็ได้
- ทำให้ผิวระคายเคือง มีการเกิดอนุมูลอิสระได้
ส่วนแบบผสมก็คือการนำหลักการของทั้ง 2 ประเภทมารวมกัน โดยอาจจะเน้นไปทางใดทางหนึ่ง ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์นั้นๆ
Q: คุณหมอแนะนำให้ใช้ครีมกันแดดแบบไหน
A: จริงๆ ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพผิว กิจกรรมประจำวันนั้นๆ ใช้แล้วแพ้หรือไม่ แต่สำหรับคนผิวบอบบางแพ้ง่าย หมอแนะนำเป็นครีมกันแดดแบบ Physical หรือ Non-Chemical เพราะเสี่ยงต่ออาการแพ้น้อยกว่า แต่ก็จำเป็นต้องลองทดสอบด้วยตนเองเช่นกันค่ะ
นอกจากนี้ยังต้องดูในเรื่องของสีครีมกันแดด เพราะบางชนิดก็มีสีผสมด้วย เช่น สีเบจ สีครีม ทำให้เราทาได้ง่ายขึ้น ทำให้หน้าไม่วอกไม่ลอย และอย่างที่บอกว่าครีมกันแดดแบบ Physical ใช้แล้วหน้าจะเงานิดหน่อย ก็ต้องลองเทสดูว่าโอเคกับสภาพผิวเราไหม นอกจากนี้ยังต้องคำนึงถึงกิจกรรมที่เราทำเพื่อเลือกค่า SPF ให้เหมาะสมอีกด้วย
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดแบบ Physical ที่หมอรู้จักก็เช่น Smooth E, Mizumi, Provamed แต่อย่าง Smooth E Physical White Babyface UV Expert จะเป็นครีมกันแดดแบบ 100% Non-Chemical เลย ซึ่งอ่อนโยนมากจนสามารถทาใต้ตาได้ด้วย ถือเป็นข้อดีเลยของครีมกันแดดประเภทนี้เลยค่ะ
Q: ผลิตภัณฑ์ที่เคลมว่าสามารถกันแดดได้ทั้งวันโดยไม่ต้องทาซ้ำเลย จะกันได้ดีจริงๆ หรือไม่
A: ครีมกันแดดกลุ่ม Physical จะไม่ต้องทาซ้ำระหว่างวันเหมือนกลุ่ม Chemical เพราะกันแดดแบบคนละหลักการ อย่างที่บอกว่าแบบ Physical เนื้อครีมจะฉาบผิวไว้ แต่แบบ Chemical เนื้อครีมจะแปรสภาพเมื่อโดนแดดทำให้ประสิทธิภาพจะค่อยๆ ลดลง และถ้าทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออกหรือเล่นกีฬากลางแจ้ง ควรเลือกใช้ครีมกันแดดที่มีคำว่า Water resistant หรือสามารถกันน้ำกันเหงื่อได้ด้วยนะคะ
Q: ผิวหลังทำเลเซอร์สามารถทาครีมกันแดดได้ทันทีเลยหรือไม่
A: ทาได้เลยและจำเป็นมากค่ะ เพราะผิวหลังเลเซอร์จะค่อนข้างเซนซิทีฟและบอบบาง ถ้าไปเจอแดดโดยที่เราไม่ทาครีมกันแดดจะทำให้ผิวระคายเคืองหรือมีรอยดำได้ง่าย แต่ควรเลือกที่เน้นไปทาง Physical หรือ Non-Chemical เพราะจะเหมาะกับผิวบอบบางค่ะ
Q: การทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ควรทำอย่างไร
สำหรับวิธีการทาครีมกันแดดให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด คุณหมอก็ให้คำแนะนำเล็กๆ น้อยๆ ไว้ดังนี้
- ควรทาครีมกันแดดหนาๆ ปริมาณอย่างน้อย 2 ข้อนิ้วมือ โดยทาให้ทั่วใบหน้า ถ้าทาแค่ทาบางๆ อาจจะไม่ได้ประสิทธิภาพตามที่ฉลากระบุไว้
- ถ้าออกแดดแรงมากๆ แนะนำให้ทาครีมกันแดดทุกๆ 2 ชั่วโมง (แต่ถ้าเป็นครีมกันแดดแบบ Physical สามารถกันได้ถึง 8 ชั่งโมง โดยไม่ต้องทาซ้ำระหว่างวันเลย)
- เลือกครีมกันแดดที่มี SPF 50 ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับในปัจจุบันแล้ว เนื่องจากผลวิจัยระบุว่า แม้ว่ามีค่า SPF สูงกว่า 50 ก็มีประสิทธิภาพต่างกันไม่ถึง 1%
- ควรล้างหน้าให้สะอาด เพื่อปกป้องปัญหาผิวต่างๆ เช่น สิวอุดตัน
หลังจากคุยกับคุณหมอก็เข้าใจหลักการทำงานของครีมกันแดดขึ้นเยอะเลย หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์และให้ความรู้กับเพื่อนๆ กันนะคะ รู้ถึงข้อดีและข้อเสียของครีมกันแดดแต่ละชนิดแล้ว ต่อไปจะได้เลือกซื้อให้ถูกต้องและเหมาะกับผิว ส่วนตัวคิดว่าครีมกันแดดแบบ 100% Non-chemical นี่แหละที่เราควรเลือกใช้ เพราะอ่อนโยนต่อผิว เสี่ยงต่อการแพ้น้อยกว่า และสามารถใช้ได้ทั้งครอบครัวเลย
เพื่อนๆ ก็ลองชั่งใจดูนะคะว่าแบบไหนที่เหมาะกับผิวหน้าเรา แต่บอกเลยว่าการทาครีมกันแดดเป็นสิ่งสำคัญมาก ห้ามละเลยหรือขี้เกียจทาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นหน้าจะแก่เร็วเอานะ!
มีประสบการณ์เขียนบทความเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ ความงามมากว่า 3 ปี โดยเฉพาะบทความด้านความสวยความงามของสาวๆ จะสนใจมากเป็นพิเศษ และหากสงสัยว่าทำไมต้อง little nomad? 'nomad' หมายถึงกลุ่มคนที่เดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ ใส่ 'little' เพิ่มเข้าไปเพื่อความน่ารักปุ๊กปิ๊ก เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ชอบเที่ยวมากกกก ซึ่งไม่ใช่แค่เที่ยวตามสถานที่ต่างๆ แต่ยังหมายถึงการท่องโลกอินเทอร์เน็ตเพื่อตามเทรนด์บิวตี้ เรื่องสวยๆ งามๆ อีกด้วย นี่แหละค่ะคือเรื่องที่เราสนใจ ไม่ว่าจะเรื่องดูแลหุ่น ผิวพรรณ ทางเราลองผิดลองถูกมาเยอะแล้ว เลยอยากมาแชร์เพื่อนๆ กัน!